เล่น บริดจ์ (Bridge) กันเถิด
ตั้งแต่ต้นปี 2016 มา กิจกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นในแลปผมคือการเล่น บริดจ์ (bridge) ที่พี่แอ๊ด เอามาเผยแพร่ ตั้งแต่นั้นมาเราเล่นกันทั้งกลางวันและเย็นเกือบทุกวัน บางทีก็ไปเล่นกับชมรมบริดจ์ที่มหาลัยด้วย
กล่าวโดยย่อแล้ว
- บริดจ์เล่นเป็นทีม ทีมละ 2 คน
- เราต้องสื่อสารข้อมูลเพื่อตั้งเป้าหมายให้ทีมเรา เป้าหมายเราต้องสูงกว่าอีกทีม แต่อยู่ในระดับที่ทำได้ ดังนั้นเรามีวิธีการสื่อสารข้อมูลที่ตรงกัน และเราต้องเรียนรู้การตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมโดยประเมินจากไพ่ในมือเราและข้อมูลที่ได้ทั้งจาก partner และของอีกทีมด้วย
เล่นๆ ไป รู้สึกว่าเหมาะกับที่ทำงานที่ชอบกำหนด KPI มาก - ผู้เล่นแต่ละคนเห็นไพ่ครึ่งกอง คือ 13 ใบบนมือ และ 13 ใบที่เปิดไว้ (ดูคำอธิบายข้างล่าง) ดังนั้นทั้งสองฝ่ายสามารถวางแผนได้ว่าจะเดินไพ่ได้สำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างไร หรือจะขัดขวางอีกทีมให้ตกได้อย่างไร ในบางกระดานแผนอาจทำได้สำเร็จโดยง่าย ในบางกระดานอาจต้องมีการปรับแผนกลางทาง ในบางครั้งอาจต้องเสี่ยงบ้างเพื่อให้มีโอกาสเดินไพ่ได้สำเร็จ เป็นเกมของ partial information จริงๆ
- แต่ละคนต้องสังเกตการลงไพ่ของทั้งทีมตัวเองและอีกทีมเพื่อ infer ว่าเขาถือไพ่อะไรอยู่ ผมว่าถ้าเราทำได้เก่งเราคงทำธุรกิจได้ดี
บริดจ์ เบื้องต้น
บริดจ์คือเกมไพ่แบบนึงที่เล่นกัน 4 คน แบ่งเป็นทีม ๆ ละ 2 คนนั่งตรงข้ามกัน เช่นนั่ง N (north), E (east), S (south), W (west) ก็จะมีทีม N-S กับ E-W
ในการเล่นกระดานหนึ่งๆ เราจะแจกไพ่หมดสำรับ (54 ใบ) ดังนั้นแต่ละคนจะได้ไพ่ไป 13 ใบ ซึ่งเราจะเล่น 13 รอบ แต่ละรอบก็ลงไพ่วนตามเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆ แล้วนับกองกินกันว่าทีมไหนได้กี่กอง
ในการเล่นแต่ละรอบ จะมีคน lead ไพ่ ก่อน จากนั้นคนอื่นก็ต้องลงไพ่ดอกเดียวกัน คนที่ลงไพ่คะแนนสูงสุดก็ถือว่าได้กองนั้นไป และได้เป็นคน lead ไพ่กองถัดไป
คะแนนของไพ่ก็นับแบบปกติคือตามลำดับ 2,3,4,5,6,7,8,9,10,J,Q,K,A
ถ้าในรอบนั้นเราไม่มีดอกที่ lead มา เราก็ลงดอกใดๆ ไปก็ได้
ของที่พิเศษหน่อยสำหรับบริดจ์คือ ทรัมป์ (trump) นั่นคือไพ่ดอกพิเศษ
เช่นสมมติว่ากระดานที่เล่นอยู่มีโพดำเป็นทรัมป์ และกองที่เล่นอยู่นั้นเป็นโพแดง แต่เราไม่มีโพแดงบนมือแล้ว ถ้าเราลงไพ่โพดำใดๆ ก็ถือว่าใหญ่กว่าโพแดงในกอง แต่ทั้งนี้ถ้ามีคนอื่นลงโพดำเหมือนกันก็ต้องมาดูว่าไพ่ใครมีคะแนนสูงกว่ากันก็กินกองนั้นไป
ในบางกระดานนั้นเราอาจเล่นแบบไม่มีทรัมป์ ในกรณีนั้นคนที่ลงไพ่คะแนนสูงสุดในดอกที่ lead มาก็กินไพ่กองนั้นไป
คำถามตอนนี้คือ แล้วในกระดานหนึ่งๆ จะตัดสินอย่างไรว่าจะมีทรัมป์หรือไม่ และหน้าไพ่ดอกใดจะเป็นทรัมป์
คำตอบคือ ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจาก ขั้นตอนการประมูล หรือ bidding
บางครั้งเราเลยเรียกเกมนี้ว่า Contract Bridge
หลังจากแจกไพ่แล้วก่อนจะเริ่มเล่น เราจะทำการประมูลก่อน สิ่งที่ประมูลคือทีมเราจะกินได้กี่กองโดยใช้ทรัมป์อะไร
การประมูลนั้นทำวนตามเข็มนาฬิกาเช่นเดียวกับตอนเดินไพ่ แปลว่าเราต้องทำการประเมินกำลังไพ่ในมือของ partner เรา และกำลังไพ่ของฝ่ายตรงข้ามหรือ “ปรปักษ์” ด้วยตอนเราเสนอสัญญาในการประมูล
ทีมที่ชนะการประมูลนั้นถือว่าได้เปรียบ ดังนั้นจาก 13 รอบที่เล่นกันก็ควรกินได้เกินกึ่งหนึ่ง นั่นคือ 6 กอง
ดังนั้นในการประมูลเราจะเริ่มนับระดับ 1 จาก 7 กองเป็นต้นไป เช่น 1S แปลว่าเราจะกิน 7 กองโดยใช้โพดำ (spade) เป็นทรัมป์ 2H แปลว่าเราจะกิน 8 กองโดยใช้โพแดง (heart) เป็นทรัมป์ เป็นต้น สำหรับข้าวหลามตัด ก็ D (diamond) และดอกจิก ก็ C (club) ที่แลปมักจะเรียกชื่อเล่นกันเป็น ดำ (S) แดง (H) เหลี่ยม (D) และจิก (C)
การประมูลนี้เป็นเช่นเดียวกับการประมูลทั่วไป นั่นคือเราต้องเสนอสัญญาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ 1,2,3,.. จนถึง 7 เพราะเรากินได้สูงสุด 13 กอง
สำหรับดอกไพ่ที่จะเป็นทรัมป์นั้นเรามีศักย์ของมันอยู่ด้วยนั่นคือ C<D<H<S<NT (NT=No Trump) ดังนั้นถ้ามีคนเสนอ 1S แล้วเราจะเสนอ 1D ทับไม่ได้ เพราะศักย์ D มันต่ำกว่า S เราต้องเสนออย่างต่ำ 2D แทน
ถ้าเราคิดว่าทีมเราไม่สามารถเสนอสัญญาที่สูงกว่าก็ผ่านไป เมื่อผ่านครบ 3 คนก็คือว่าจบการประมูล ทีมที่สัญญาสูงสุดได้ไพ่ไปเดิน
ในการเดินไพ่นั้น ทีมที่ประมูลสูงสุดจะได้ไป แต่ในทีมนั้นจะมีคนเดียวที่เล่น อีกคนต้องเปิดไพ่และมีหน้าที่ลงตามคำสังเฉยๆ เป็น dummy
สมมติว่าทีมชนะประมูล 3S คนในทีมที่เสนอดอก S ก่อนจะเป็นคนเล่น อีกคนเป็นฝ่ายเปิดไพ่โดยจะเปิดไพ่หลังจากปรปักษ์ที่อยู่ซ้ายของคนเล่นได้ทำการ lead ไพ่มาก่อนครั้งแรกเลย
กฎข้างบนนี้มีผลต่อระบบประมูลด้วย เพราะถ้าเราเปิดไพ่มือที่แต้มมาก ทีมที่ defense ก็เดินไพ่ได้ง่ายเพราะเห็นชัดว่าไพ่ใดจะโดนกินหรือไม่ ดังนั้นจึงมีการกำหนด protocol ที่บางทีดูแปลกเพื่อทำให้หากประม๔ลสำเร็จจะเป็นมือแต้มน้อยที่เปิดแทน
หลังจากที่ dummy เปิดไพ่แล้วอีก 3 คนที่เล่นนั้นมีข้อมูลไพ่อยู่อย่างต่ำครึ่งกอง คือ 13 ใบในมือตัวเอง และ 13 ใบที่เปิดอยู่ เมื่อนำมารวมกับข้อมูลตอนประมูลก็จะทำให้เราคำนวณได้ว่าควรจะเดินไพ่อย่างไรทั้งฝ่ายที่เล่นและฝ่าย defense
หลังจากเล่นจบ 13 รอบ เราก็มาดูว่าฝ่ายที่เล่นทำได้ตามที่ประมูลหรือไม่ ถ้าได้ก็จะได้คะแนนไป ถ้าไม่ได้ก็ติดลบหรืออีกนัยหนึ่งคือฝ่าย defense ได้คะแนนไป
คะแนนนี้ต่างกันออกไปตามระดับและดอกการประมูลที่ผมยังจำไม่ค่อยได้ ของที่สำคัญคือจะมีคะแนนพิเศษ 3ระดับนั่นคือระดับเกมคือ 3NT, 4H, 4S, 5C, 5D และระดับ slam คือได้ 6 กอง และ grand slam ที่กินได้ 7 กอง
นั่นแปลว่าถ้าเป็นไปได้ เราควรจะประมูลให้ได้ถึงระดับเกมเป็นอย่างต่ำ
จะเห็นว่าด้วยคะแนนนี้หน้าไพ่ S และ H จะได้เปรียบ D กับ C เราเรียก S กับ H ว่าเป็นหน้า major และ D กับ C ว่าเป็นหน้า minor
ในตอนประมูลนั้นถ้าเราไม่อยากเสนอสัญญาใหม่ แต่เราคิดว่าฝ่ายปรปักษ์ทำไม่ได้แน่นอนเราก็อาจจะเบิ้ล (double) ไป ในกรณีนี้ถ้าปรปักษ์ชนะประมูลแล้วทำไม่สำเร็จจริง เราก็จะนับกองที่ตกแล้วคิดคะแนนลบเป็นสองเท่าไป
ในกรณีที่ทีมเราถูกเบิ้ล แต่เรายังมั่นใจว่าทำได้ เราก็อาจจะ re-double กลับไป ซึ่งถ้าเราทำได้จริงเราก็จะได้คะแนนเป็น 4 เท่าเลย
การเบิ้ลหรือรีดับเบิ้ลนี้ก็สามารถนำมาใช้ในระบบประมูลเพื่อบอกกำลังไพ่ได้เช่นกัน
ระบบประมูล
ในการประมูลนั้นเราต้องประมูลว่าทีมเราจะทำได้เท่าไรไม่ใช่แค่ตัวเราเอง ดังนั้นเราจึงต้องมีสื่อสารข้อมูลไพ่ในมือไปยัง partner ของเราด้วย จึงเป็นที่มาของระบบประมูล ในการแข่งนั้นทีมปรปักษ์อาจจะถามเราได้ว่าเราใช้ระบบประมูลใด หรือการประมูลหนึ่งๆ นั้นมีความหมายอย่างไร เราก็ถามเขาได้เช่นกันถือว่า fair ดี
เท่าที่ผมเข้าใจระบบพวกนี้มักจะอิงการประเมินค่าของไพ่ในมือก่อน เราเรียกว่า High Card Point นั่นคือ A=4, K=3, Q=2, J=1 ดังนั้นไพ่ 1 สำรับ จะมี HCP รวม 40 แต้ม ถ้าทีมเรามีเกิน 20 แต้มมันก็น่าจะเอามาเล่นให้ได้
นอกจากนี้ก็มีการประเมินคร่าวๆ เช่นถ้าทีมเรามี 24 แต้ม เราควรประมูลระดับเกมของ major เช่น 4S หรือถ้าเรามี 26 แต้มก็อาจจะเล่น 3NT ได้ สังเกตว่าถึงจะระดับ 3 แต่ยากกว่า major ระดับ 4 เพราะไม่มีทรัมป์ช่วย
นอกจากนี้ยังมีแต้มพิเศษให้กรณีที่เราไม่มีไพ่หน้าหนึ่งๆ เลย เรียกว่า void หรือกรณีมีใบเดียว (singleton) หรือสองใบ (doubleton) เพราะในกรณีเหล่านี้เราสามารถเอาไพ่ของ partner ไปทรัมป์ได้
ตัวอย่างระบบประมูล คือระบบที่ใช้ในแลปซึ่งณัฐชัยเอามาเผยแพร่ น่าจะมาจากลาดกระบัง ชื่อ “4 ใบเหลี่ยม” เริ่มจากถ้าเรามี 12+ แต้ม และมี major 5+ ใบ เราก็ควรเริ่มประมูลที่ระดับ 1 ถ้าเราไม่มีแต่มี D 4 ใบ ก็ควรเข้า 1D ถ้าเราไม่มีอีก แต่มี C 2 ใบขึ้นไป (ซึ่งก็ควรมีแล้วแหละ) ก็ควรเข้า 1C
ของที่น่าสนใจเช่นหากปรปักษ์ประมูล 1D มันไม่ได้แปลว่าเขามี D 4 ใบเท่านั้น แต่ยังแปลว่าเขาไม่มี major 5 ใบอีกด้วย ซึ่งข้อมูลนี้สามารถเอาไปใช้ในตอนเดินไพ่ได้ เช่นเพื่อจะดูว่าไพ่ major ที่เราถือนั้นมีคะแนนสูงสุดหรือยัง เป็นต้น
ถ้าเพื่อนเราเข้า 1S และเรามีดำ 3 ใบ ก็แปลว่าทีมเรามีดำ 8 ใบ ทีมปรปักษ์มี 5 ใบ ถ้าไพ่แบ่งกันดีก็ถือ 2 กับ 3 ใบ แปลว่าถ้าเราเล่นดำ 3 รอบ ทรัมป์ในมือปรปักษ์ก็จะหมด เราสามารถนำเอาทรัมป์ที่เหลืออีก 2 ตัวไปกินได้ 2 กองแน่นอน ดังนั้นเราก็ควรประมูลเสริมเพื่อนเราไป เช่น 2S หรือ 3S เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นกับแต้ม HCP ของเรา
ถ้าเราเองก็มี ~12 แต้ม เมื่อรวมกับเพื่อนเราก็เป็น ~24 แต้ม เราอาจตอบ 1S ของเพื่อนด้วย 4S เลยก็ได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ในบางครั้งเรากระโดดเพราะเรามีแต้มน้อยอยากปิดประมูลเร็วๆ ถ้าฝ่ายปรปักษ์ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเราจะได้เอามาเล่นเอง
การขึ้นระดับนี้การประเมินแต้มสำคัญมาก แต่ตอนนี้ที่แลปยังไม่ค่อยแม่นมากนัด ยังต้องฝึกอีก ที่เคยไปเล่นที่ม.เกษตร ดูเขาแม่นเรื่องนี้มากกว่าเยอะเลย
ผมสังเกตว่าในตอนที่เราเริ่มเล่นปีที่แล้วนั้นช่วงแรกเราไม่ค่อยกล้าประมูลกันเท่าไรเพราะกลัวกินได้ไม่ครบ จึงเล่นกันแค่ระดับต่ำๆ
ต่อมาพอเริ่มเข้าใจระบบประมูลแล้ว ก็เริ่ม bid กันสูงขึ้น บางครั้งก็สูงเวอร์เลย
หลังจากนั้นเราจึงเริ่มนับคะแนนว่าถ้าทำได้ (made) จะได้เท่าไร ถ้าตกต้องเสียเท่าไร ทำให้เริ่มประมูลในระดับที่สมเหตุสมผลมากขึ้น
แต่พอถัดมาก็เริมมีการดันประมูล คือลองประมูลสูงหน่อยถ้าฝ่ายปรปักษ์จะแย่งไปเล่นจะได้ไม่ง่ายนักและถ้าฝ่ายเราตกก็ยังไม่เจ็บมาก ในการประมูลแบบนี้เราต้องเชื่อใจ partner พอควร บางทีดูบนมือเราเหมือนจะเดินไม่ได้แต่ถ้า partner บอกว่าได้ก็ควรเชื่อ (หรือไม่เชื่อแต่ cut loss ไปก่อนจะประมูลเข้ารกเข้าพงไปก่อน 555) แต่บางครั้งถ้ามีปัญหาจริงเช่นเราไม่มีไพ่หน้าทรัมป์เลยเราก็ต้องบอกเพื่อนหรือหาวิธีเปลี่ยนทรัมป์ให้ได้
ช่วงหลังนี่เริ่มเป็นการประมูลปิดปาก คือกระโดดขึ้นเร็วเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีเวลาคุย อันนี้ก็ขึ้นกับจังหวะเหมือนกันในบางครั้งการเข้าร่วมประมูลอาจช่วยดันให้ปรปักษ์เดินยาก แต่บางครั้งเข้าไปเรากลับได้เดินและเจ็บตัวเอง บางทีก็ขึ้นกับ partner เราด้วยว่าเป็นพวกไหน เช่นชอบแหย่ขาเข้าร่วมประมูลเล่นๆ หรือชอบคำนวณเป๊ะๆ เป็นต้น
ระบบการประมูลเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เพราะแต่ละระบบก็สามารถส่งข้อมูลได้จำกัด ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้เล่นว่าจริงๆ ไพ่ควรเป็นเช่นไร
ส่วนมากพอจบกระดานเรามักมานั่งดูกันว่าประมูลได้ถูกหรือเปล่า หรือควรประมูลอย่างไรจึงจะได้ระดับที่เหมาะสม เป็นต้น
จำได้ว่าตอนไปเล่นที่ ม.เกษตร เจอระบบประมูลแปลกมาก คือเน้นบอกคะแนนไม่ได้บอกหน้าทรัมป์ เล่นด้วยแล้วงงมากว่าตกลงน้องมีไพ่หน้าอะไรยาว
ข้อมูลไพ่ที่ได้ระหว่างประมูลยังเอาไปใช้ตอนเดินไพ่ได้อีก เช่นถ้าเราเข้า 1S แต่เพื่อนเราไม่รับทั้งๆ ที่มีแต้ม ก็น่าจะแปลว่าเขาไม่ค่อยมีดำ คืออาจจะมีสูงสุดแค่ 2 ใบ ดังนั้นสมมติว่าปรปักษ์ประมูลไปได้ หากในระหว่างเล่นถ้าไพ่กลับมาขึ้นมือเราอีกหนหลังจากเล่นดำไปแล้ว 2 รอบ คือออกไปแล้ว 8 ใบเหลืออีก 5 ใบอยู่บนมือเรา 2 ใบ ข้างนอกอีก 3 ใบ เราก็อาจจะลงดำเล็กๆ ก็ได้เพราะเพื่อนเราน่าจะไม่มีดำแล้วแต่สามารถลงทรัมป์ไปกินดำของปรปักษ์ได้ เป็นต้น
การเดินไพ่
การเดินไพ่ของผมยังอ่อนอยู่เดินพลาดบ่อย แต่ก็มีกฎง่ายๆ ที่คนใช้กันเช่น
- ถ้าเพื่อน lead ไพ่เล็กมา เขาน่าจะมี honor คือพวก J,Q,K,A จริงๆ คงเป็น K หรือ Q มากกว่าด้วย ดังนั้นถ้าเรากินได้ก็ให้กินแล้วส่งตัวเล็กกลับไปให้เขากิน
- ถ้าเรา lead A แล้วเพื่อนตอบเล็กแปลว่าเขาไม่ชอบหน้านี้ ควรเปลี่ยน ถ้าเขาชอบเขาต้องลงตัวที่ใหญ่หน่อย เรียกว่า echo เพื่อบอกให้เล่นหน้านี้ต่อ อาจจะเพราะเขามีไพ่โตอยู่ในมือ หรือเขาอาจจะ void แล้วและสามารถกินด้วยทรัมป์ก็ได้
- ถ้าหน้าที่ void ของเรากับของ dummy เป็นคนละหน้า เราสามารถสลับกันกินด้วยทรัมป์ได้ เราเรียกว่าทำ ruffing
- ถ้าเรามี K กับไพ่เล็กๆ อยู่หลัง A แล้ว K น่าจะรอด เพราะถ้า A ลงมาเราก็หลบได้ กฎนี้ใช้ได้กับพวก Q,J,… ด้วย
ทั้งนี้เราต้อง lead ไปจากมือตรงข้าม เช่นเรามี 2,3 ดำ ซ้ายเรามี A และ dummy เรามี K กับไพ่เล็กเช่น 4 เมื่อเรา lead 2ดำ ถ้าซ้ายเรากินด้วย A เราก็หลบ ถ้าเขาไม่กินเราก็กิน รู้สึกว่าจะเรียกว่า finesse - ถ้าเรามี K เราควรมีไพ่ guard 1 ใบมันถึงจะรอดแน่ นั่นแปลว่าในตอนนับ HCP นั้นถ้า K เป็น singleton ก็ไม่ควรนับ เพราะมีโอกาสโดนกินสูง
เช่นกันถ้ามี Q ก็ควรมี guard 2 ใบ, … - ตอนเล่นตอนแรกผมมักจะกินๆ หน้าที่กินได้ก่อน แต่พี่แอ๊ดสอนว่าเราวางแผนก่อนว่าตัวไหนจะเสีย และตัวไหนเอาไปทรัมป์ได้ จากนั้นถ้าต้องสร้างหน้าบางหน้าให้ทำก่อนตอนเรายังมี control หน้าอื่นก่อน แล้วค่อยไปกินตอนหลังก็ได้
- ถ้าไม่ต้องใช้ทรัมป์ก็ไล่ให้หมดก่อนก็ได้
- ถ้าเล่นแบบทรัมป์ให้นับกองเสีย ถ้าเล่น No Trump ให้นับกองกิน
- ต้องรู้จักหยุดประมูลที่ระดับที่เราได้คะแนนคุ้มสุด เช่นถ้าเรากินได้ระดับ 4 (10 กอง)โดยไม่ต้องใช้ทรัมป์แน่เราก็หยุดแค่ 3NT ก็พอ แล้วไปได้คะแนน over trick เพิ่มเอาดีกว่าประมูล 4NT หรือหากเรามีดำยาวมาก แต่เรามี A ครบทุกหน้า เราอาจเลือก 3NT แทน 4S เพราะถ้ากินได้ 10 กองเท่ากัน 3NT+1 over trick จะได้แต้มเยอะกว่า เป็นต้น
เริ่มยาวแล้ว ถ้าสนใจก็ลองติดต่อพวกชมรมบริดจ์ดู หรือถ้าจะเล่นคนเดียวบนมือถือก็มี app หลายตัวอยู่เช่น Bridge V+ หรือ Fun Bridge เป็นต้น