บันทึกกรรมการ

NSC

Sanparith Marukatat
2 min readMay 13, 2017

เป็นงานแข่งพัฒนา software ที่มีมานานแระ หลังๆ มีเพิ่ม hardware ด้วยและก็มีงานแข่ง BEST

เน้นนักเรียน/นักศึกษา มีหลายหมวดแต่ละหมวดอาจมีเกณฑ์การตรวจต่างกัน แต่หลักแล้วในรอบ 2 ระบบที่เสนอต้อง run ได้ ถ้าผ่านและมีบั๊กก็มีเวลา ~เดือนนึงให้แก้ก่อนเข้ารอบสุดท้าย

โครงงานที่เข้ารอบมักต้องมีอะไรที่เด่น เช่นต่างจากคนอื่น หรือยากในการพัฒนา หรือสมบูรณ์มากกว่าเขา

บางทีก็อยากให้เด็กหาดูงานปีก่อนๆ บ้าง (ไม่รู้ดูได้ที่ไหน) บางครั้งถ้าเคยเห็นอาจได้งานที่ดีขึ้น

สำหรับงานแข่ง BEST นั้นเราเน้น performance เป็นหลัก ดังนั้นต่อให้เทคนิคพื้นๆ หรือเทคนิคที่คนใช้เยอะ แต่ถ้าปรับจนให้ผลดีมากก็ผ่านได้ง่ายๆ เช่นกัน

ในงาน BEST เราขอให้แต่ละทีมมานำเสนอวันแข่งด้วยว่าทีมตัวเองใช้เทคนิคอะไร

ผลพลอยได้จากงาน BEST คือมีฐานข้อมูลใหญ่พอให้ทำวิจัยได้ และได้ดูว่าคนอื่นทำอะไรกันบ้าง

อีกหมวดที่ผมประทับใจคือหมวดเกม ผมสังเกตว่าเกมที่น้องๆ ทำนั้นสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ หลายๆ ทีมมีการแบ่งงานที่ดูโปรมาก มีคนออกแบบการเล่น คนทำฉาก คนออกแบบตัวละคร etc. ส่วนมากก็ใช้ Unity เป็นหลัก เห็นบ่อยจนคิดว่าต้องหัดใช้บ้างแล้ว

YSC

มาคู่กับ NSC แต่เน้นโครงงานวิทยาศาสตร์ ไม่เฉพาะด้านคอมพิวเตอร์.

เน้นโครงงานวิทยาศาสตร์แปลว่านักเรียน/นักศึกษาควรมีความรู้พื้นฐานในด้านที่ตัวเองทำอย่างดี

ผมตรวจหมวดคณิตศาสตร์บ่อย บางโครงการนี่ไม่คณิตศาสตร์ค่อนข้างน่าเบื่ออย่างพวกการวัดรูปร่างทางเรขาคณิตจากท่ารำ

ของที่สนุกในงาน YSC คือการประชุมกรรมการเพื่อเลือกทีมที่จะชนะ เพราะบางงานที่เราคิดว่าดีเมื่อฟังกรรมการเฉพาะ domain พูดกลับแย่ไป เพราะอาจจะเป็นเทคนิคพื้นๆ หรือมีการควบคุมตัวแปรต่างๆ ที่ไม่ดีพอ

เด็กที่ชนะจะได้โควต้าไปงาน ISEF หรือ ISWEEP งานหลังเน้น engineering, energy กับ environment (ถ้าจำไม่ผิด)

โครงงานที่ได้รางวัลมักต้องมีกระบวนการที่ดีและมีแนวคิดที่น่าสนใจ บางทีถ้านักเรียน/นักศึกษาได้อ่านงานของปีก่อนๆ อาจจะทำให้ได้งานที่ดีขึ้น แต่กรรมการรอบแรกก็จะตรวจเรื่อง plagiarism ยากขึ้น

หลายๆ ครั้งโครงงานก็ซ้ำไปซ้ำมา เช่นใช้วัชพืชซับน้ำมันหรือเอาสารสกัดจากนมราชสีห์ (วัชพืช) ไปใช้ เป็นต้น

ISEF

เป็นงานประกวดนานาชาติที่ผู้แข่งขันต้องได้รางวัลจากงานประกวดวิทยาศาสตร์ต่างๆ ของไทยมี 2 งานที่ส่งคืองานของสมาคมวิทยาศาสตร์กับ YSC ของ NECTEC

งานจัดไม่นานหลังจากประกาศผล YSC ดังนั้นจะมี gap ช่วงนึงที่น้องๆ มาเข้าค่ายติวที่ NECTEC ทั้งเรื่องภาษา การนำเสนอ หรืออุดรูรั่วของงานที่ยังไม่ครบ พวกโค้ชหน้าประจำที่ผมเจอก็มีพี่แอ๊ด, นก, อาร์มและพี่เล็ก (NECTEC) พี่นุ (MTEC) อ้อมกับพี่วาส (BIOTEC) กับอาจารย์เสน่ห์ ที่สอนภาษาอังกฤษ

ปีที่มีโอกาสไปร่วมงาน ISEF ผมได้สมัครเป็นกรรมการเลยได้ไปดูทั้งโครงงานเด็กและกระบวนการตัดสิน กรรมการมีทั้งกรรมการประจำและอาสาสมัครอย่างผม

เท่าที่เดินดูคณิตศาสตร์สังเกตว่าเด็กที่แข่งมีหลักๆ 2 พวกคือ พวกที่ทำโครงงานเพื่อแข่ง กับพวกที่ดูจะทำวิจัยกับอาจารย์ในมหาลัยอยู่แล้วและตัดบางส่วนมาส่งงานนี้ งานของกลุ่มหลังนี่ดู advance มาก ในปีที่ผมไปนั้นงานด้านคอมพิวเตอร์ที่ได้รางวัลไม่ได้ออกแนววิจัยจ๋า เป็นงานพัฒนามากกว่าแต่ทำได้สมบูรณ์มาก

เด็กไทยมักได้รางวัลจากงานที่ใช้พวกพืชหรือสัตว์ในประเทศหรืองานพวกสิ่งแวดล้อม

ปัญหาของงานนี้คือเวลามานั่งคุยกับน้องก่อนไปมักเจอช่องโหว่ หรืออะไรที่ทำไม่ครบ ไม่สมบูรณ์ น้องๆ เลยมักต้องมาทดลองเพิ่มช่วงที่เก็บตัว บางครั้งส่วนที่ทำเพิ่มก็เยอะจนต่างจากงานตั้งต้นพอดู

ต่อกล้าให้เติบใหญ่

รับเด็กที่เข้ารอบจาก NSC/YSC/YECC อันหลังเป็นงานแข่งด้าน electronics (มั๊ง) จัดพร้อมๆ กัน

Idea หลักๆ คืองานพวก NSC เด็กเริ่มทำจากความสนใจส่วนตัวเป็นหลัก สำหรับโครงการต่อกล้าเราอยากให้เด็กเอาผลงานไปให้ถึงผู้ใช้จริงๆ

บางครั้งผู้ใช้ที่ว่าก็ไม่ใช่ที่น้องๆ คิดไว้ตอนแรก

ระยะเวลาในโครงงานนี้อยู่ที่ 4 เดือน หรือมากกว่า มีค่ายอบรมเป็นระยะ และมีการลงพื้นที่ไปตามงานน้องๆ

การเน้นผู้ใช้งานทำให้น้องๆ ต้องเรียนพวก UI/UX, Scrum กับ Agile และการทำพวก SWOT กับแผนธุรกิจเบื้องต้นและทรัพย์สินทางปัญญาด้วย

ข้อดีของการทำค่ายพวกนี้คือผมก็ได้เรียนไปด้วย และพบว่าผมเหมาะกับการทำวิจัยมากกว่าจริงๆ แหละ 555

จากการได้นั่งเรียนด้วย สังเกตว่ามันยังมี gap เรื่องผู้ใช้อยู่ คือเวลาคนสอนเรื่องการพัฒนา product มักจะเริ่มจากผู้ใช้โดยดูความต้องการเขาก่อนแล้วค่อยดูว่าควรพัฒนาอะไร แต่งานนี้น้องๆ มีของอยู่แล้ว ต้องมาหาดูว่าจะมีผู้ใช้หรือไม่หรือผู้ใช้ที่คิดไว้นั้นจริงๆ เขาจะใช้มั๊ยต่างหาก เหมือนเรื่องเล่าที่ 3M ทำกาวห่วยๆ แล้วออกมาเป็นกระดาษ post-it ได้อย่างไร ตอนนี้ทางกลุ่มโค้ชยังช่วยกันดู case by case อีกหน่อยถ้าได้กระบวนการเป็น best practice เก็บไว้คงดี

JSTP

เป็นโครงการให้ทุนเด็กเพื่อทำวิจัยมี 2 ระยะ คือตอนต้นเราให้ทุนระยะสั้น 1 ปี ส่วนมากเป็นเด็กมัธยม. แล้วมาดูว่าเด็กคนไหนมีศักยภาพในการทำวิจัยก็จะได้ทุนระยะยาว คือตั้งแต่ระดับที่เรียนจนจบป.เอก ในประเทศ

ปัญหาหลักของ JSTP คอม คือข้อเสนอโครงการของเด็กมักเหมาะกับ NSC มากกว่า คืออยากพัฒนาระบบหรือ software อันนี้ทีมผู้จัดอาจต้องเดินสายอธิบายหน่อยว่าเราต้องการแบบไหนกันแน่

เด็กหลายๆ คนเสนอโครงการใหญ่มากประมาณว่าถ้าทำได้นี่คงจบ ป.เอก ได้ไม่ยาก ก็ต้องมีการลด scope ลง หรือตีกรอบให้ focus บางส่วน ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นกับที่ปรึกษา

JSTP ดูจะคล้ายกับ YSC คือดูที่ความสมบูรณ์ของหัวข้อวิจัยเป็นหลัก ไม่ต้องทำระบบใหญ่มากก็ได้ ขอให้ตอบโจทย์วิจัยเล็กๆ ได้ก็พอ

ข้อดีของ JSTP คือจะมีการเลือกที่ปรึกษาให้สำหรับนักเรียนแต่ละคนเลย เท่าที่สังเกตความสมบูรณ์ของโครงงานมักแปรผันตรงกับความถี่ในการคุยกับที่ปรึกษา

จุดด้อยของโครงการนี้คือเด็กบางคนทำงานน่าสนใจในระยะสั้น พอได้ทุนระยะยาวงานกลับด้อยลง อาจเป็นเพราะไม่มีการติดตามทวงงานแบบระยะสั้น

YSTP / TGIST

YSTP ชื่อคล้ายกับ JSTP แต่เป็นเด็กมหาลัยปี 3–4 แทน โดยมีที่ปรึกษาจาก สวทช. ร่วมดูแล ส่วน TGIST ก็คล้ายๆ กันแต่เป็นเด็ก ป.โท-ป.เอก

สำหรับเด็กที่ต้องใช้สารเคมีหรือห้องทดลองทุนนี้น่าจะช่วยเยอะ เพราะสามารถมาขอนักวิจัยใช้ได้ แต่ด้านคอมนี่ไม่ต้องใช้ขนาดนั้นดังนั้นส่วนมากเลยมาขอคำปรึกษามากกว่า แต่ก็ขึ้นกับตัวเด็กเองว่าจะใช้ประโยชน์จากนักวิจัยได้แค่ไหน

เวลาขอทุนนี้มักมีคนติดต่อมาถามคำถามอย่างคิดว่างานของเด็กจะช่วยงานวิจัยเราได้มั๊ย แต่เห็นว่าบางครั้งคนขออยู่ในโครงการของ NECTEC แล้วแต่ไม่ได้ก็มี คงเพราะทุนมีจำกัด แต่คนขอกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ทุน TGIST เหมือนจะมีงบให้ไปนำเสนอผลงานด้วย แต่ได้ไม่เยอะมากอาจต้องขอเงินจากทางมหาลัยด้วย

TAIST

เป็นโครงการความร่วมมือหลายสถาบัน สวทช., ญี่ปุ่น (Tokyo tech มั๊ง), SIIT, ม.เกษตร, ลาดกระบัง ด้วยมั๊งไม่แน่ใจ เด็กที่ได้ทุนมักมาขอให้นักวิจัยสวทช. เป็นที่ปรึกษา แต่จริงๆ ควรทราบว่าในเอกสารนั้นนักวิจัยเป็นกรรมการเฉยๆ นะ เคยมีคนที่สอบจบโดยผมไม่รู้ด้วยซ้ำ

Quality ของการจัดการและของเด็ก vary มากกกก เด็กบางคนแค่ขอชื่อเพื่อใส่ให้ครบๆ (ผมไม่ชอบถึงอาจจะได้ชื่อใน conference paper ก็เถอะ)

บางคนก็มา update สิ่งที่ทำเรื่อยๆ บางคนก็มี intellectual contribution กลับมาบ้าง หลายคนไม่มี

intellectual contribution นี่ไม่จำเป็นว่าเขาต้องมาสอนผม แค่เขาลองเทคนิคแปลกๆ หรือพบว่าเทคนิคที่มีมีข้อจำกัดอย่างไรผมก็พอใจแล้ว

กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ตรี/โท/เอก

ส่วนมากจะเป็น ป.โท เอก มากกว่า นานๆ ทีจะมี ป.ตรี

งานนี้มักเปลี่ยนไปตามระดับชั้น ตามคณะ ตามหลักสูตร หรือตามมหาลัย บางทีก็มีการตรวจข้อเสนอก่อนแล้วค่อยมาฟัง present จบอีกที

สำหรับข้อเสนอนั้นถ้าผ่านแล้วบางมหาลัยก็แทบไม่ให้เปลี่ยน บางที่ก็ยังเปลี่ยนได้ บางครั้งรู้สึกเหมือนข้อเสนอเป็น TOR จ้างงานเลย ส่วนตัววิทยานิพนธ์ก็เป็นสิ่งส่งมอบไป

คุณภาพของวิทยานิพนธ์นั้นก็ vary มาก จนรู้สึกอยากให้มีฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์กลางข้ามมหาลัยให้ใครเข้ามาดูก็ได้ จะได้เปรียบเทียบระดับของงานตัวเองได้ดีกว่าไปเชื่อพวก ranking ต่างๆ

Reviewer conference/journal

ส่วนมากงาน conference มักไม่ค่อยสนุกเท่าไร งานใน journal สนุกกว่า ใหม่กว่า ครบสมบูรณ์กว่า

ส่วนมากถ้าเป็น idea ใหม่ที่ดูดี หรือเสนอมาเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างแล้วทำได้ตรงจุด ผมมักให้ผ่าน

งานที่ตัดสินยากคืองานพวกที่คุณภาพกึ่งๆ คือไม่ใหม่มาก ผลไม่ดีมาก ก็ต้องดูว่าเขาจะ convince ผมได้มั๊ยว่างานเขาดีอย่างไร รีวิวไปบ่อยๆ ก็เข้าใจเหมือนกันเวลาที่งานของตัวเองโดน reject ปัญหาหลักของผมคือสนใจพวกเทคนิคเป็นหลัก บางทีต้องไปนั่งหาว่าแล้วที่เราทำเป็นมันเหมาะกับงานแบบไหน ปัญหาเดียวกับเด็ก NSC ที่ต้องมองหาผู้ใช้เวลาเข้าร่วมโครงการต่อกล้าเลย 555

หลังๆ บางที่ก็ส่งผลการ review ของกรรมการอื่นมาให้อ่านด้วยพร้อมการตัดสินใจ

ที่เคยเจอแล้วรู้สึกแย่คือมี reviewer ที่แนะให้คนเขียนเพิ่ม paper ที่น่าจะเป็นของเขาด้วย (ถึงไม่รู้จัก reviewer แต่ดูจากชื่อคนเขียนบทความที่เขาแนะนำก็พอจะรู้ได้อยู่)

พอได้มารีวิวเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมบาง journal ถึงให้ผลรีวิวช้า คือส่วนมากเดี๋ยวนี้ journal เวลาขอมามักมีบอก deadline การรีวิวมาด้วย ผมมักจะ submit ผลวันสุดท้าย มีบางอันหรือบาง conference ไม่บอก อันนั้นก็มักจะช้าไปช่วยไม่ได้

พอได้รีวิวไปเรื่อยๆ ก็ได้เห็นความพยายามคนเขียนด้วยนะ คือบางคน idea ไม่ใหม่มาก แต่พอมีคำแนะนำให้ทำส่วนไหนเพิ่มก็ไปทำมา จนดูดี ผมเองในฐานะคนเขียนก็เคยมานั่งเทียบระหว่าง version แรกที่ส่งไปกับ version สุดท้าย และพบว่า version สุดท้ายที่แก้มันดีขึ้นเยอะจริงๆ

--

--

Responses (1)