คนหลังเพลง

Sanparith Marukatat
5 min readJun 8, 2016

--

วันก่อนมูฮาหมัด อาลี ตาย เลยนึกถึงเพลง Black Superman ขึ้นมา ก่อนหน้านั้นก็พึ่งฟังเพลง Spoonman ของ Soungarden อยู่ ซึ่งก็เป็นเพลงที่แต่งจากคนจริงเช่นกัน เลยมานั่งนึก+google ดูเพลงแบบนี้ปรากฏว่ามีเยอะกว่าที่คิด ผมเลยลองทำรายการชื่อคนและเพลงที่พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจขึ้นมา คืออยากรู้ว่าคนเหล่านี้คือใครถึงได้มีคนแต่งเพลงให้ จากนั้นก็หาดูข้อมูลจากเว็บ ส่วนมากก็จาก wikipedia โดยผมเลือกจากเพลงที่ผมเองรู้จัก ชอบหรือชอบคนในเพลง หรือมีประวัติน่าสนใจ เป็นหลัก เพลงที่ไม่ถูกจริตก็ตกไป

Artis the Spoonman — Spoonman — Soungarden

Artis เป็น street performer (คงแปลว่า วณิพก ได้มั้ง) ที่เล่นเพลงบนถนนในซีแอทเทิล โดยเฉพาะที่ Pike Place Market ที่สาวก Starbucks น่าจะรู้จัก เครื่องดนตรีของ Artis คือ “ช้อน” มีหลายอันและหลายแบบ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อการแสดงว่า Spoonman ผมเคยลองหาดูบน Youtube มี vdo ที่ Artis เล่นกับวงออเคสตราด้วย น่าประทับใจมาก นอกจากนี้ Artis ยังมีอัลบัมของตัวเอง และได้ไปตามงานดนตรีต่างๆ และยังได้ร่วมงานกับนักดนตรีอีกหลายคนรวมถึง Soundgarden วงร๊อคจากซีแอทเทิลเช่นกัน

เพลง Spoonman อยู่ในอัลบัม Superunknown (1994) และเป็น single เพลงแรกที่ออกมาซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี อัลบัมนี้มีเพลงอื่นที่ติดตลาดมากกว่าคือ Blackhole Sun จำได้ว่าช่วงนั้นเห็นมิวสิค Blackhole Sun ในทีวี (ที่ฝรั่งเศส) บ่อยมาก ใน music video ของเพลง Spoonman นี้ Artis เล่นอยู่ด้วย และยังไปเล่นคอนเสิร์ตกับ Soungarden ด้วย เพลงนี้ติด Billboard และยังได้ Best Metal Performance ในงาน Grammy Award 1995 อีกต่างหาก

Aleister Crowley — Mr. Crowley — Ozzy Osbourne

Aleister Crowley เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าลัทธิ Thelema ชาวอังกฤษ ประวัติใน wiki ยาวมาก จบการศึกษาจากเคมบริดจ์ แต่หันมาสนใจเรื่องเวทมนต์และไสยศาสตร์

Crowley ยังเป็นนักปีนเขาที่เข้าร่วมคณะเดินทางปี 1905 เพื่อพิชิตยอด Kanchenjunga ที่สูงเป็นอันดับสามของโลก อยู่ในเทือกเขาหิมาลัยเช่นกัน แต่ล้มเหลว ยอดนี้ถูกพิชิตได้ในปี 1955 ระหว่างการปีนก็มีปัญหาในทีมระหว่าง Crowley และคนอื่น จนมีการแยกทางกัน และยังมีอุบัติเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีก Crowley กลับมาได้แต่ดูจะไม่เสียใจต่อการตายของคนในทีมเลย (plot น่าเอาไปทำหนังมาก)

Crowley ได้รับอิทธิพลทางความเชื่อหลากหลายทั้งจากอียิปต์ ฮินดู พุทธ จากการเดินทางไปหลายที่ทั้งทั่วยุโรป อียิปต์ จีน อินเดีย เม็กซิโก อาฟริกา และอเมริกา

Crowley (ตาม wiki ซึ่งเดาว่ามาจากหนังสือที่เขาเขียน) เชื่อในเวทมนต์ซึ่งเขาใช้คำว่า magick โดยที่ magick นี้เป็นกึ่งกลางระหว่างความเชื่อทางศาสนา และวิทยาศาสตร์ แต่คนทั่วไปมองว่าเขาเป็นพวกบูชาซาตาน รวมถึงในเพลงของ Ozzy Osbourne ด้วย

เพลง Mr. Crowley อยู่ในอัลบัมเดี่ยว อัลบัมแรกของ Ozzy ซึ่งตอนนั้นมือกีตาร์เทพ Randy Rhoads ยังไม่ตาย เลยมี vdo เพลงนี้ที่ Rhoads เล่นให้ดูบน Youtube ด้วย เคย surf บน Youtube ขำๆ ไปเจอเด็กเล่นเพลงนี้ในโบสถ์ด้วย เดาว่าคนฟังที่โบสถ์คงไม่รู้ว่าเขาคือใคร

Cynthia Bassett — The God That Failed — Metallica

Cynthia Bassett เป็นแม่ของ James Hetfield นักร้องและผู้ก่อตั้งวงเฮวี่เมตัล Metallica ซึ่งตายด้วยโรคมะเร็ง

พ่อและแม่ของ Hetfield นั้นศรัทธาในคำสอนของลัทธิ Christian Science ซึ่งปฏิเสธการรักษาทุกรูปแบบ ลัทธินี้ถูกก่อตั้งในศตวรรษที่ 19 ใน New England โดย Mary Baker Eddy ที่เชื่อว่าความป่วยไข้เป็นเพียงภาพมายาที่สามารถแก้ได้โดยการสวดอ้อนวอน

พ่อและแม่ของ Hetfield นั้นหย่ากันตอนเขาอายุได้ 13 ปี และตอนเขาอายุ 16 ปี แม่เขาก็เสียชีวิตลงแต่ก่อนจะตายนั้น เธอปฏิเสธการรักษาและการใช้ยาในทุกรูปแบบ โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยเธอได้ Hetfield เชื่อว่าถ้าเธอไม่ยึดใน Christian Science แล้ว เธออาจจะรอดได้

การเสียชีวิตนี้เป็นที่มาของเพลงที่เขาแต่งหลายเพลงโดยเฉพาะ The God That Failed ซึ่งธีมหลักของเพลงนี้คือคนที่ศรัทธาในพระเจ้าที่ไม่สามารถช่วยรักษาได้นั่นเอง


I hear faith in your cries
Broken is the promise, betrayal
The healing hand held back by the deepened nail
Follow the god that failed

Pattie Boyd — Layla, Wonderful Tonight — Eric Clapton

Pattie Boyd เป็นนางแบบ ตากล้อง และภรรยาคนแรกของ George Harrison และต่อมาก็มาเป็นภรรยาคนแรกของ Eric Clapton

Boyd ได้เล่นในหนังของ The Beatles เรื่อง A Hard Day’s Night ซึ่ง Boyd และ Harrison เริ่มรักกัน Harrison ยังได้แต่งเพลง Something ให้ด้วย (แต่ผมเฉยๆ กับเพลงนี้) จนแต่งงานกัน

วันหนึ่ง Boyd ได้รับจดหมายรักลงชื่อว่าจาก E. ซึ่งเธอก็ยังนำไปให้ Harrison ดูว่าเธอมี secret admirer วันถัดมา Eric Clapton ซึ่งเป็นเพื่อนกับ Harrison ถามว่าได้จดหมายของเขาหรือเปล่า

ช่วงนั้น Boyd กับ Harrison เริ่มห่างกัน และมาสนิทกับ Clapton เอง จนเป็นที่มาของเพลง “Layla” จากนั้นก็มีดราม่าเรื่อง Harrison กับภรรยาของ Ringo Starr กับเรื่องยาเสพติดอีกจน ฺBoyd กับ Harrison หย่ากัน และมาแต่งงานกับ Clapton แทน เลยได้อีกเพลงช่วงนี้คือ “Wonderful Tonight” แต่ต่อมาก็หย่าอีก

แปลกดีที่ทั้ง Harrison กับ Clapton ไม่ทะเลาะกัน ตามบทสัมภาษณ์ของ Boyd นั้น เธอถือว่า Harrison เป็น love of her life ไม่ใช่ Clapton

เพลง Layla นั้นมี 2 versions หลัก คือดั้งเดิมเล่นด้วยกีตาร์ไฟฟ้า สมัยที่ Clapton อยู่กับวง Derek and the dominos ซึ่งมีท่อนโซโล่ที่ยอดเยี่ยม ฟังเพลินเลย และแบบอะคูสติกที่เล่นในรายการ MTV Unplugged ซึ่ง Clapton ทำได้เยี่ยมไม่แพ้ version เดิมเลย ผมชอบทั้งสองแบบ

Conor Clapton — Tears in Heaven — Eric Clapton

อีกเพลงของ Clapton ที่ผมชอบคือ Tears in Heaven ซึ่งแต่งจากเหตุการณ์ที่ลูกชายของเขาที่อายุ 4 ขวบ ตกจากอพาร์ตเมนต์ของเพื่อนแม่เขาและเสียชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้ Clapton เก็บตัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับมาทำงานเพลงต่อเพื่อประกอบหนังเรื่อง Rush ซึ่งถ้าดูจากคะแนนบน imdb ก็ไม่ใช่หนังดีเท่าไร แต่ได้ byproduct เป็นเพลงนี้ที่เยี่ยมมาก ทำให้อยากรู้เหมือนกันว่าการทำเพลงประกอบหนังนี่เค้าติดต่อใครกัน มันมาถึง Clapton ได้ไง หนังมันออกแนว action อีกต่างหาก

Clapton เลิกเล่นเพลงนี้ และเพลง “My Father’s Eyes” (แต่งถึงพ่อเขา แต่ผมไม่ชอบเท่าไร) หลังปี 2004 ด้วยเหตุผลที่ว่าความรู้สึกของเขาต่อการสูญเสียทั้งสองนั้นเปลี่ยนไปแล้ว และไม่อยากให้มันกลับมาใหม่ แต่ใน world tour ปี 2013 เขาเอาเพลงทั้ง 2 มาเล่นด้วย (เอาไงกันแน่ฟระ)

Quentin Crisp — Englishman in New York — Sting

Quentin Crisp เป็นนักเขียนและนักเล่าเรื่องชาวอังกฤษ และเป็นไอคอนของเกย์ Crisp มีแนวโน้มเป็นหญิงตั้งแต่เล็ก ชอบแต่งหน้า และแต่งตัวเป็นหญิง แต่ก็ยังอาสาสมัครเป็นทหารตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง Crisp โดนปฏิเสธเพราะ “suffering from sexual perversion”

Crisp ทำหลายอาชีพ รวมทั้งเป็นนายแบบสำหรับวาดภาพเปลือย 30 กว่าปี ระหว่างนั้น Crisp ก็เขียนหนังสือโดยเฉพาะเรื่อง The Naked Civil Servant ซึ่งถูกนำมาทำเป็นหนังทีวี และทำให้เขาโด่งดังขึ้นมา

ในประวัติบอกว่า Crisp เปิดหมายเลขโทรศัพท์ของเขาเป็นสาธารณะ และมองว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะคุยกับใครก็ตามที่โทรมาด้วย นอกจากนั้นเขายังรับคำเชิญเลี้ยงอาหารของคนที่ไม่รู้จักด้วย โดยที่เจ้าภาพจ่ายแลกกับความสำราญในการทานอาหารร่วมกับเขาพร้อมฟังเรื่องสนุกสนานต่างๆ

Englishman in New York อยู่ในอัลบัมที่สองของ Sting ติดอันดับสูงปานกลางบน UK Single Chart และ US Billboard แต่ได้อันดับดีกว่าบน chart ของประเทศอื่นในยุโรป

Crisp ปรากฏตัวในมิวสิคของเพลงนี้ด้วย

ส่วนตัวแล้วผมชอบเพลงนี้ และจำได้ว่าสะดุดที่เนื้อร้องที่ว่า “I like my toast done on one side” เลยไปหาดูเพิ่ม ปรากฏว่ามีคนที่กินขนมปังปิ้งหน้าเดียวจริงด้วย คือถ้าไม่ใช้เครื่องปิ้งก็คือปิ้งตะแกรงข้างเดียว หรือเครื่องปิ้งบางรุ่นก็ทำได้ มีกระทั่งคนที่บอกให้ใส่สองแผ่นในช่องเดียวก็จะได้ขนมปังปิ้งหน้าเดียวแล้ว อยากรู้เหมือนกันว่ารสเป็นไง

Jackie Chan — Kung Fu — Ash

Jackie Chan หรือเฉินหลง นี่คงไม่มีใครไม่รู้จักแล้วแต่มาดูประวัติหน่อย เฉินหลงเป็นนักแสดงบู๊ชาวจีนฮ่องกงที่ดังจากสไตล์การต่อสู้ที่แปลกและขำๆ และชอบใช้ของรอบตัวเป็นอาวุธ และยังแสดงสตั้นเองในหนัง

เฉินหลง เริ่มแสดงบทเล็กๆ ตั้งแต่ 5 ขวบ ตอน 9 ขวบก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงแล้ว พออายุ 17 เฉินหลงได้แสดงในเรื่อง Fist of Fury และ Enter the Dragon กับบรู๊ซ ลี มีเรื่องที่เฉินหลง เล่าว่าบรู๊ซ ลี จำเขาได้เพราะในฉากบู๊บรู๊ซ ลี ผิดคิวเล็กน้อย ฟาดเฉินหลงล้มไป หลังจากผู้กำกับสั่งคัท บรู๊ซ ลี รีบวิ่งมาดูเพราะเป็นห่วง ส่วนเฉินหลงก็แกล้งสำออยไปทั้งวัน

เฉินหลงได้บทเอกตอนอายุ 17 แต่ไม่ดังจนหันไปเล่นหนังโป๊ด้วยซ้ำ จากนั้นมีคนอยากจ้างเฉินหลงมาเล่นสไตล์บรูซ ลี แต่ก็ไม่เวิร์ก เพราะสไตล์บู๊ต่างกันเกินไป ปี 1978 เฉินหลงอายุ 24 ได้บทเอกที่ผู้กำกับปล่อยให้ออกแบบคิวบู๊เอง ซึ่งผลตอบรับที่ได้นั้นดีมาก จากนั้นเขาได้นำแสดงอีกครั้งในไอ้หนุ่มหมัดเมา (Drunken Master) และสไตล์การต่อสู้นั้นกลายเป็นสไตล์ประจำตัว action comedy ของเขาไป

นอกจากการแสดงเฉินหลง ยังร้องเพลงด้วย และมีผลงานกว่า 20 อัลบัม นอกจากนี้เขายังได้รับปริญญาเอกจากหลายมหาวิทยาลัย และยังเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ของ Hong Kong Polytechnic University ด้านการจัดการการท่องเที่ยวอีกด้วย

ส่วน Ash นั้นเป็นวงร๊อคอัลเทอเนทีฟที่ไม่ดังมากนัก เพลงนี้เขียนขึ้นใน 5 นาทีในวัน Boxing Day (26/12) ปี 1994 ที่สนามบินเบลฟาสต์ และถูกอัดเสียงในวันถัดมา เพลงนี้ถูกใช้ประกอบฉากหลุดในหนังของเฉินหลง เรื่อง Rumble in the Bronx แต่ในตอนต้นของเพลงที่มีเสียงกังฟูนั้นเป็นเสียงของหงจินเป่า จากเรื่อง Encounters of the Spooky Kind (ไม่รู้ชื่อไทยแฮะ อาจจะเคยดู)

Patti D’Arbanville — Wild World, Lady D’Arbanville — Cat Stevens

Patti D’Arbanville เริ่มแสดงหนังเล็กๆ ของนักศึกษามหาวิทยาลัย New York ตั้งแต่ 8 ขวบ พอ 16 ขวบเธอก็ได้เล่นหนังของ Andy Warhol หลังจากนั้นเธอกลายเป็นนางแบบที่ลอนดอน ที่ซึ่งเธอได้พบกับ Cat Stevens ชื่อจริง Steven Demetre Georgiou

หลังจากที่ D’Arbanville กับ Cat Stevens เลิกกันซึ่งเป็นที่มาของเพลงทั้งสอง D’Arbanville ก็มีสัมพันธ์กับ Don Johnson (พระเอกซีรีส์ Miami Vice) และมีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือ Jesse Wayne Johnson

D’Arbanville ยังได้เล่นหนังใหญ่เช่น The Fan (ที่ Robert De Niro กับ Wesley Snipes เล่น) หรือ Perfect Stranger (ที่ Bruce Willis กับ Halle Berry เล่น) นอกจากนี้เธอยังเล่นละครเวที ซึ่งเธอได้รางวัล Drama-Logue Award และเธอยังแสดงในซีรีส์ทีวีเช่น Law & Order, Nip/Tuck และได้บทตัวหลักใน New York Undercover

Jerry Cantrell (Senior) — Rooster — Alice in Chains

Rooster เป็นเพลงที่มือกีตาร์ Jerry Cantrell ของ Alice in Chains แต่งถึงเรื่องของพ่อของเขา Jerry Cantrell Sr. ที่ไปสงครามเวียดนาม ชื่อนี้มาจากชื่อเล่นของพ่อเขาว่า Rooster (ไก่แจ้) เพราะมีผมชี้ตั้งตอนเด็กๆ

Cantrell Sr. เป็นทหารที่ไปสงครามเวียดนาม สังกัด 101st Airborne Division ซึ่งสัญลักษณ์คืออีนทรีหัวโล้น (bald eagle) ที่ถูกชาวเวียดนามเรียกว่า chicken men (เพราะที่นั่นไม่มีอินทรีหัวโล้น) บางคนเลยเข้าใจว่าเป็นที่มาของชื่อเพลง Rooster

บ้างก็ตีความตามเนื้อเพลง “Walkin’ tall machine gun man …” แล้วคิดว่า Rooster มาจากเปลวไฟปลายกระบอกปืนที่เหมือนหางไก่ (จินตนาการสูงมาก)

ผลของสงครามเวียดนามทำให้ครอบครัวของ Cantrell นั้นแตกแยก จากที่ Cantrell สัมภาษณ์นั้นบรรยากาศในครอบครัวเลวลงหลังจากพ่อเขากลับจากเวียดนาม จนคนอื่นในครอบครัวต้องย้ายกันไปอยู่กับยายที่วอชิงตัน เลยทำให้ Cantrell นั้นโตมาโดยไม่ค่อยได้รู้จักกับพ่อเขา

เพลง Rooster นั้น Cantrell เขียนจากจากมุมมองของทหารที่ไปรบ แต่ทั้งนี้ Cantrell ไม่ได้คุยเรื่องนี้กับพ่อเขาเพราะพ่อเขาไม่พูดเรื่องนี้กับครอบครัว แต่ Cantrell เชื่อว่าสามารถสื่ออารมณ์ของพ่อเขาออกมาถูก พ่อเขาเคยมาดู Alice in Chains เล่นเพลงนี้ live ครั้งเดียว ซึ่งในครั้งนั้นพ่อเขาร้องไห้ตลอดเวลา

ภายหลังมีการสัมภาษณ์ Cantrell Sr. เรื่องสงครามเวียดนาม และนำมาใส่ในมิวสิคของเพลงนี้ด้วย

Unnamed rape & torture victim — Polly — Nirvana

Polly เป็นเพลงที่ฟังเพลินๆ น่ารักดี แต่พอมารู้ที่มาแล้วกลับไม่ค่อยชอบแล้ว จากสารคดี Nevermind ที่มีสัมภาษณ์ Krist Novoselic มือเบสของ Nirvana Novoselic บอกว่า Kurt Cobain แต่งเพลงนี้ขึ้นมาหลังจากอ่านข่าวของเด็กสาวอายุ 14 ปี ที่ถูกลักพาตัวไปหลังจากเธอออกมาจากคอนเสิร์ทร๊อค เธอถูกกักขังไว้เพื่อข่มขืนและทรมานทั้งจากมีดโกนและเครื่องพ่นไฟ เธอฉวยโอกาสที่เขาแวะปั้มน้ำมันเพื่อหนีออกมาขอความช่วยเหลือ และรอดออกมาได้ ในข่าวบนเว็บไม่มีชื่อเธออยู่คาดว่าเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว

คนที่ลักพาตัวไปเคยก่อเหตุคล้ายๆ กันมาก่อน และถูกตัดสินให้ติดคุก 75 ปี ซึ่งเขาก็พยายามหลบหนีแต่ไม่รอด แต่ในที่สุดก็ได้รับอนุญาติให้ปล่อยตัวหลังจากติดไปประมาณ 20 ปี หลังจากออกมาได้ 7 ปี เขาก็มาก่อเหตุนี้ขึ้น เขาถูกตัดสินให้ใช้โทษเดิมให้ครบและทบโทษใหม่อีก 75 ปี ตำรวจยังสงสัยว่าเขาได้ก่อเหตุอื่นอีกแต่ยังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยง

ในเพลงนั้น Cobain แต่งว่าเธอรอดออกมาได้เพราะแกล้งเกี้ยว (flirt) กับชายที่ลักพาตัวไปจนเขาเผลอเลยหนีได้

Holly Woodlawn, Candy Darling, Joe Dallesandro, Joe Campbell, Jackie Curtis — Walk On The Wild Side — Lou Reed

เพลง Walk on the wild side เล่าถึงเรื่องของคนหลายคนและเส้นทางชีวิตของพวกเขาที่ New York เนื้อเพลงแต่ละท่อนก็เล่าถึงแต่ละคน เนื้อร้องกล่าวถึงคนข้ามเพศ (transgender), ยาเสพติด, โสเภณีชาย, ออรัลเซ็กซ์ เท่าที่หาดูคนเหล่านี้ต่างก็เป็นนักแสดงในหนังของ Andy Warhol ที่ Lou Reed เจอที่สตูดิโอ The Factory ของ Warhol

Holly คือ Holly Woodlawn เป็นนักแสดงข้ามเพศ ที่หลังจากถูกแกล้งโดยคนที่เกลียดพวกข้ามเพศ เลยหนีออกจากบ้านที่ฟลอริดา และโบกรถมา New York เธอเลือกชื่อ Holly จากนางเอกเรื่อง Breakfast at Tiffany’s
Holly ได้บทเด่นในหนังเรื่อง Trash ซึ่งเธอด้นสด (improvise) บทสนทนาในเรื่องด้วย มีข่าวลือว่าเธออาจจะได้รางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้ ในเรื่องถัดมาคือ Women in Revolt เธอได้แสดงร่วมกับนักแสดงดังคนอื่นในสังกัด Wahol
ในช่วงที่เธอเป็นนักแสดง เธอเคยถูกจับข้อหาขโมยสินค้าในร้าน และปลอมเป็นภรรยาของฑูตฝรั่งเศสที่ U.N. อีกด้วย
ปี 1979 เธอยอมแพ้เรื่องการแสดง และย้ายกลับไป Miami ไปทำงานเสริฟอาหาร
ช่วงปี 90 เธอกลับมาแสดงใหม่อีกหนแต่ไม่ดังมาก จนเสียชีวิตในปี 2015

Candy คือ Candy Darling เป็นนักแสดงข้ามเพศเช่นกันจาก Long Island เธอใช้เวลาเด็กไปกับการดูหนังฮอลลีวูดเก่าๆ และฝึกแสดงบทนางเอก ภายหลังเธอได้แสดงในหนังของ Warhol หลายเรื่อง
หลังจากยุคของ Warhol เธอก็ได้แสดงในหนังอินดี้อีกหลายเรื่อง แต่ไม่สามารถกลับมาดังได้อีก เธอเสียชีวิตตอนอายุ 29 ปี แต่ภายหลังยังคงมีสารคดีเกี่ยวกับชีวิตเธอที่ออกมาอีก

Little Joe คือ Joe Dallesandro นักแสดงที่รับบทโสเภณีชายในหนังของ Warhol จนเป็น sex symbol ของเกย์บางกลุ่ม
Dallesandro เกิดจากแม่วัยรุ่น (16 ปี) ซึ่งติดคุกตอนเขาอายุได้ 5 ปี Dallesandro ตามพ่อเขาไป New York แต่ภายหลังเขาถูกรับไปอุปถัมภ์ ซึ่งเขามักหนีออกจากบ้าน จนอายุ 14 ปีเขาถึงได้อยู่กับพ่อที่ย่าน Queens
ตอนอายุ 15 เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะไปต่อยครูใหญ่ โดยหาว่าครูดูถูกพ่อเขา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเข้าแก้งค์และขโมยรถ จนถูกจับเข้าค่ายฟื้นฟูผู้เยาว์ ซึ่งเขาก็หนีออกมาและหากินด้วยการเป็นนายแบบนู๊ด
Dallesandro ดังจากบทโสเภณีชายในหนังเรื่อง Flesh และได้ขึ้นปกนิตยสาร Rolling Stone เมษายน 1971
Dallesandro ยังได้แสดงในหนังฮอลลีวูดอีกหลายเรื่องจนปัจจุบัน

Sugar Plum Fairy คือ Joe Campbell ที่รับบทตัวละครชื่อนี้ในหนังของ Andy Warhol ชื่อนี้ยังหมายถึงพ่อค้ายา ได้อีกด้วย
ตอนอายุ 19 ปี Campbell มีเพื่อนชายคือ Harvey Milk ซึ่งเป็นผู้สมัครตำแหน่งการเมืองคนแรกที่เปิดตัวว่าเป็นเกย์ เรื่องของ Milk ถูกนำมาสร้างหนังที่แสดงนำโดยฌอน เพนน์
ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน 7 ปีที่ New York ซึ่งหลังจากที่ทั้งคู่แยกทางกันนั้นเองเป็นช่วงที่ Campbell ได้บทเล็กๆ ในหนังของ Warhol
ประวัติของ Campbell น่าสนเรื่องความสัมพันธ์กับนักการเมืองมากกว่าการแสดง เพราะ Milk นั้นถูกลอบสังหารในปี 1978 และนอกจากนี้ Campbell ยังมีสัมพันธ์กับ Oliver Sipple ที่ช่วยหยุดยั้งการลอบสังหารประธานาธิบดี Gerald Ford

Jackie คือ Jackie Curtis เป็นนักแสดงในหนังของ Warhol เช่นกัน
Curtis แสดงเป็นทั้งชายและหญิง และเป็นคนจุดประกายการแต่งตัวพวก glam rock
Curtis ยังเขียนบทละครเองด้วยซึ่งก็ได้นักแสดงของ Warhol มาร่วมแสดง นอกจากนี้เธอยังเขียบบทกวีและร้องเพลงอีกด้วย
Curtis เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาด

เริ่มยาวไปแระ ไว้ว่างๆ มาหาดูใหม่

--

--

No responses yet